ไวน์แต่ละชนิด ควรเก็บที่อุณหภูมิเท่าไร?
ไวน์แต่ละชนิด ควรเก็บที่อุณหภูมิเท่าไร?

นอกจากส่วนประกอบของไวน์ และวิธีการหมักจะเป็นตัวช่วยสำคัญที่จะทำให้รสชาติดีมากกว่าเดิมแล้ว อุณหภูมิที่ใช้ในการเก็บไวน์ก็สำคัญไม่แพ้กัน ยิ่งชนิดที่ต่างกัน ก็ยังต้องเก็บในอุณหภูมิที่ต่างกันด้วย เรามาดูกันว่ามีวิธีไหนบ้างที่จะช่วยเก็บอุณหภูมิของไวน์โปรดของคุณให้มีรสชาติดีขึ้น

- Light/Mid-bodied white: 7-10 องศาเซลเซียส
เนื่องจากไวน์ขาวมักจะมีรสชาติและกลิ่นที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น Chenin Blanc, Unoaked Chardonnay, Pinot Gris และอื่น ๆ อีกมากมาย จึงควรเก็บในอุณหภูมิที่เหมาะสม และไม่ต่ำกว่า 7 องศาเซลเซียส เพื่อไม่ให้กลายเป็นน้ำแข็ง และให้ได้รสชาติที่ยอดเยี่ยมตั้งแต่ครั้งแรกที่จิบดื่มนั่นเอง - Mid/Full-bodied oaked white: 10-13 องศาเซลเซียส
ไวน์โอ๊ค (Oaked Wine) หมายถึง ไวน์ที่หมักในถังโอ๊คในระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งการบ่มไว้ในถังนาน ๆ นั้นจะส่งผลต่อโครงสร้างของไวน์ (Wine’s Structure) ทั้งความเข้มข้น (Body), กลิ่น (Flavor), รสชาติ (Note) รวมไปถึงส่วนประกอบอื่น ๆ เช่น กลิ่นวานิลลา, กลิ่นควัน (Smoke) หรือเครื่องเทศ (Spice) เป็นต้น โดยควรเก็บในอุณหภูมิ 10-13 องศาเซลเซียส ที่ไม่เย็นจนเกินไป เพื่อไม่ทำให้ไวน์เสียรสชาติ และได้กลิ่นต่าง ๆ ขณะที่ดื่มอย่างชัดเจน - Sweet Wine: 7-10 องศาเซลเซียส
ไวน์หวาน (Sweet Wine) เป็นไวน์ที่มีน้ำตาลอยู่มาก ตั้งแต่ 5% ขึ้นไป ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว มักจะเป็นไวน์ที่เริ่มหมักใหม่ ๆ ทำให้ปริมาณแอลกอฮอล์น้อย หรือไม่เกิน 10% จึงเหมาะกับนักดื่มที่ชอบไวน์ที่ดื่มง่าย ไวน์ประเภทนี้เหมาะกับการเก็บรักษาในอุณหภูมิที่ 7-10 องศาเซลเซียส เพื่อให้ได้กลิ่นความหอมและความสดใหม่ที่ซ่อนรสสัมผัสของแอลกอฮอล์ไว้ในการดื่ม - Sparkling: 6-10 องศาเซลเซียส
ตระกูล Sparkling ต่าง ๆ ทั้ง Asti Spumante, Champagne และ Prosecco ควรเก็บในอุณหภูมิประมาณ 6-10 องศาเซลเซียส เพราะถ้าหากอุณหภูมิต่ำกว่านี้ อาจทำให้กลิ่นหอมและรสชาติที่ชัดเจนของไวน์หายไป รวมไปถึงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่อัดอยู่ในไวน์ด้วยเช่นกัน จึงไม่ควรเสิร์ฟในขณะที่เป็นน้ำแข็ง หรือเย็นจนเกินไป - Light-bodied: 13 องศาเซลเซียส
เนื่องจากตู้แช่ไวน์ส่วนใหญ่จะมีอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 12-13 องศาเซลเซียส ไวน์ในกลุ่มนี้จึงสามารถนำออกมาจากตู้แช่แล้วดื่มได้เลย ไม่ว่าจะเป็นไวน์ Light-bodied ที่มีรสชาติออกหวานอย่าง Sauternes แต่ก็เต็มไปด้วย Acidity จึงทำให้ไวน์มีความลงตัว หรือจะเป็นตระกูลไวน์แดง อย่าง Chianti, Zinfandel และ Pinot Noir ที่คุณสามารถดื่มในขณะที่ไม่เย็นได้ หรืออาจนำมาตั้งทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาทีก่อนดื่ม เพื่อให้ได้รสชาติและกลิ่นสัมผัสของไวน์ที่ชัดเจนมากขึ้น - Mid/Full-bodied red: 15-18 องศา
สำหรับไวน์ประเภทนี้ ไม่ว่าจะเป็น Cabernet Sauvignon, Syrah/Shiraz, Nebbiolo หรือ Port Wine ถือเป็นกลุ่มไวน์แดงประเภท Mid to Full-bodied ที่เหมาะสำหรับการดื่มในอุณหภูมิที่สูงขึ้นมาเล็กน้อย โดยคุณอาจนำออกมาจากตู้แช่ไวน์ หรือถ่ายไวน์จากขวดใส่โถแก้วขนาดใหญ่ (Decant) จากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 10-20 นาที เพื่อให้ความเย็นของไวน์ลดลง ก็จะทำให้ได้ทั้งกลิ่นและรสชาติที่ชัดเจนขึ้น นอกจากนี้หากเป็น Cabernet Sauvignon ยังจะทำให้สามารถดึงกลิ่นของสมุนไพรออกมาได้มากขึ้นด้วย รวมถึงกลิ่นและรสชาติความเป็นเครื่องเทศที่ชัดเจนจาก Shiraz ที่รสชาติจะมีความคล้ายกับน้ำมันจาก Nebbiolo นั่นเอง

วิธีการเก็บไวน์ในปัจจุบันนั้นก็สามารถที่จะเลือกเก็บไวน์ในบ้านได้ด้วยการซื้อตู้แช่ไวน์ที่สามารถหาซื้อได้ง่ายแต่มีราคาที่ค่อนข้างสูงอยู่พอสมควร ซึ่งการซื้อตู้แช่ไวน์เอาไว้นั้นก็จะช่วยตอบโจทย์ในเรื่องของการเก็บไวน์ได้เป็นอย่างดี และยังช่วยลดปัญหาการเกิดไวน์เสียได้อีกด้วย แต่วิธีการเก็บไวน์นั้นก็จะต้องคำนึงถึงปัจจัย 3 อย่าง ได้แก่
1. อุณหภูมิ
สำหรับอุณหภูมิที่มีความเหมาะสมในการเก็บไวน์นั้น ก็จะเป็นอุณหภูมิที่อยู่ในช่วง 18 – 25 ̊ C ซึ่งอุณหภูมิเท่านี้เขาจะทำให้ไวน์นั้น mature ได้มากยิ่งขึ้น หรือเป็นการทำให้ไวน์ที่บ่มไว้มีคุณสมบัติที่ควรมีในไวน์อย่างครบถ้วนได้เร็วยิ่งขึ้นนั่นเอง แต่ก็มีข้อห้ามตรงที่ไม่ควรเก็บไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิเย็นจัดเพราะมันอาจทำให้ไวน์แข็งและเสียรสชาติได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
2.แสง
จะสังเกตได้ว่าโรงเก็บไวน์นั้นส่วนใหญ่แล้วเขาจะออกแบบมาให้เป็นสถานที่ที่ห่างไกลจากแสงแดดได้มากที่สุด เพราะแสงรวมไปถึงความร้อนนั้นจะมีผลต่อเรื่องของ กลิ่น รสชาติ และสีของไวน์ได้นั่นเอง ซึ่งการเก็บไวน์ที่ดีนั้นก็ควรที่จะห่างไกลจากแสดงแดดและความร้อน อีกทั้งยังนิยมห่อด้วยขวดกระดาษอีกหนึ่งชั้นอีกด้วย
3.ความชื้น
สำหรับเรื่องของความชื้นนี้จะเน้นย้ำไปที่ไวน์ที่จุกคอร์กอยู่เพราะมันมีผลต่อเรื่องของความชื้นเป็นอย่างมากเพราะหากความชื้นในอากาศนั้นมีน้อยกว่า 50% ก็จะทำให้จุกคอร์กปิดขวดนั้นเกิดการแห้งกรอบและทำให้อากาศเข้าไปในขวดไวน์ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ไวน์เสียได้ง่ายอีกด้วยนั่นเอง